ทุ่งลาเวนเดอร์เมือง Valensole จ๋า พี่กลับมาหาแล้วนะ (1)

Trip Summer road trip in Provence, France : 13-15 July 2016

สืบเนื่องจากทริปนี้ << ลั้ลลาที่ทุ่งลาเวนเดอร์ ณ เมือง Valensole >> ที่มีโอกาสไปเยือนทุ่งลาเวนเดอร์ในเขตโปรวองซ์เป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อปี 2011 เป็นทริปที่สนุกและประทับใจมาก ทว่าช่วงที่ไปนั้นเป็นตอนต้นฤดูที่ดอกลาเวนเดอร์เพิ่งบาน ความตั้งใจที่จะได้เห็นดอกไม้สีม่วงเข้มเต็มทุ่งดารดาษจึงเป็นอันตกไป

หลายปีต่อมาเรายังคงเฝ้าคิดถึงทุ่งลาเวนเดอร์อยู่เสมอและหวังว่าจะกลับไปเที่ยวอีกครั้งให้ได้ ห้าปีผ่านไป…ความฝันอันเลือนรางก็เริ่มทักทอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอีกครั้ง เราได้กลับไปเยือนสถานที่ในฝันของเราอีกครั้ง…ในบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป

เส้นทางชมทุ่งลาเวนเดอร์ในเขตโปรวองซ์นั้นมีหลายเส้นทางด้วยกัน แต่สำหรับเรา เรายังอยากไปเยือนเมืองเดิมให้ได้ อยากสานฝันครั้งก่อนหน้าให้เป็นจริงเสียที

เราเริ่มวางแผนเจ็ดอาทิตย์ล่วงหน้าค่ะเพราะไม่อยากพลาดอะไรเท่าไหร่ สิ่งแรกคือเริ่มหาโรงแรมกัน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าโรงแรมส่วนใหญ่ถูกจองจนเต็มไปหมด เราเริ่มวิตก…จะทำยังไงดี ลองไล่สายตาไปตามตัวเลือกที่เหลือก็พบว่าถ้าไม่แพงเกินไปก็ล้วนแล้วแต่อยู่ห่างไกลจากเมืองที่เราจะไปมาก
ลองคิดสภาพ…ถ้าหากเราตะลอนเที่ยวมาทั้งวันจนเหนื่อยก็คงอยากจะกลับที่พักไปนอนตีพุงบนเตียงไวๆ ยิ่งกว่านั้นคงเป็นเพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ดอกไม้ Full bloom พอดี ความยากในการหาที่พักจึงยากเป็น 2-3 เท่า แต่เหมือนอะไรดลใจไม่ทราบ อยู่ๆ ก็นึกได้ว่ามีบริการ Airbnb อยู่นี่นา ส่วนตัวเราไม่เคยใช้บริการที่พักแนวนี้เลยสักครั้งแม้จะได้ฟังข้อดีมาก็มาก คิดได้เช่นนั้นเราจึงลองเข้าไปหาข้อมูลดู แล้วก็ดีใจมากค่ะ เหมือนเจอแจ็คพ็อต เพราะนอกจากจะเจอที่พักใจกลางเมืองแล้ว ราคายังถูกอย่างเหลือเชื่อ เราไม่รอช้าติดต่อเจ้าของบ้านทันที แล้วก็โชคดีที่พวกเขาตอบรับเร็วมาก กระท่ังถึงวันเดินทาง เราก็เตรียมสะเบียงและกระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมค่ะ

ทริปนี้เราขับรถเที่ยวรายทางเช่นเคย เมืองแรกที่เราแวะมีชื่อว่า L’Isle-sur-la-Sorgue อยู่ไม่ไกลจากเมือง Avignon (อาวีนยง)มากนัก ประมาณ 25 กิโลเมตรได้ ตอนแรกที่ไปถึงมันดูเป็นเมืองเล็กๆ เรียบง่ายไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วจุดเด่นอยู่ที่คูน้ำรอบเมืองกับกังหันปั่นน้ำเก่าแก่ที่ตั้งกระจัดกระจายรอบตัวเมือง

เสียงน้ำไหลเป็นอย่างแรกที่ดึงดูดความสนใจของเราค่ะ เมื่อโผล่หน้าลงไปดูในคูน้ำก็นึกทึ่งในใจเพราะน้ำใสมากๆ ใสมากจริงๆ ใสจนมองเห็นต้นพืชเริงระบำอยู่ใต้น้ำ แม่น้ำนี้มีชื่อว่า la Sorgue ตามชื่อเมืองเลยค่ะ เป็นแม่น้ำที่ไหลโอบล้อมรอบเมืองจนเป็นที่มาของสมญานาม ‘Venice of Provence’ หรือ ‘Island City’ นั่นเอง

DSC02646
เรานั่งกินข้าวที่เตรียมมาจากบ้านตรงริมทางเดินติดคูน้ำกัน ไม่ต้องนั่งร้านอาหารก็สามารถซึบซับบรรยากาศดีๆ ได้จากรอบตัว

1.1

อิ่มท้องแล้วเราก็เดินเล่นต่อในตัวเมืองค่ะ ด้วยความที่เป็นหน้าร้อน เราจึงเห็นความสดใสของต้นไม้ใบหญ้าเยอะแยะเต็มไปหมด ร้านค้าส่วนใหญ่ทาสีพาสเทลอ่อนได้กลิ่นไอความเป็นโปรวองซ์นิดๆ

DSC02618

2

เมืองนี้มีร้านค้าที่ขายของจำพวกของเก่าโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพวกของตกแต่งภายนอก ภายใน ของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ สาระพันอย่างก็หาได้ไม่ยากจากเมืองนี้ค่ะ

3

นอกจากนี้ ใจจากเมืองยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์คาทอลิกเก่าแก่แห่งเดียวในตัวเมืองชื่อว่า La Collégiale Notre-Dame-des-Anges ซึ่งยืนหยัดอยู่คู่เมืองนี้มานานตั้งแต่ปี 1222 แล้ว

4จากนั้นเราก็ขับรถมายังเมือง Fontaine de Vaucluse ที่อยู่ติดกัน เป็นเมืองเล็กๆ ล้อมรอบหุบเขา แต่มีที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาด
เราจอดรถไว้ตรงลานจอดรถที่ค่อนข้างไกลแล้วเดินริมถนนขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นต้นเสากลางลานกว้างมาแต่ไกล ซึ่งต้นเสานี้มีชื่อว่า la colonne de Pétrarque ค่ะ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1804 เพื่อเป็นเกียรติและฉลองให้แก่การครบรอบปีที่ 500 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ Pétrarque นักประพันธ์ชาวอิตาเลียนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งซึ่งเคยอาศัยอยู่ที่เมืองนี้

DSC02681

เมืองนี้ถือเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ La sorgue ค่ะ บริเวณรอบๆ ส่วนใหญ่เป็นร้านขายของกับร้านอาหารตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เราแอบไปส่องดูน้ำก็พบว่ามีความใสไม่ต่างจากเมือง L’Isle-sur-la-Sorgue เลยสักนิด ใกล้กันเราจะเห็นกังหันวิดน้ำค่ะ ซึ่งคนสมัยก่อนใช้พลังน้ำจากกังหันวิดน้ำมาผลิตกระดาษ

5

ที่เราแวะมาเมืองนี้มีจุดมุ่งหมายนิดๆ นั่นคือตามหา la source หรือตาน้ำนั่นเอง บางคนอาจจะงงว่าตาน้ำคืออะไร เคยเห็นคนเจาะบ่อหรือบาดาลไหมคะ เวลาเจาะก็ต้องหาที่ที่มีตาน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดเวลา แต่ตาน้ำหรือ la source ของที่นี่ต่างจากการเจาะบาดาล เพราะมันคือต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายๆ สายในบริเวณนี้ค่ะ

เราเดินมาตามป้ายบอกทาง ตอนแรกแอบหลงทางอีกต่างหาก กว่าจะรู้ตัวว่าเดินผิดก็เกือบสายไป ฟู่ว! (คือเดินจนเริ่มเหนื่อยไม่ใช่อะไร) ระหว่างทางเราจะเห็นว่ามีร้านค้าตั้งอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะร้านไอศกรีมจะมีเยอะเป็นพิเศษ อีกอย่างที่ชอบคือมีเสียงน้ำไหลคลอไปให้เดินกันเพลินๆ แต่ถนนหนทางค่อนข้างเดินยากนิดหนึ่ง มันเป็นทางดินแข็งๆ ค่อนข้างขรุขระ แต่ถ้าใส่รองเท้าผ้าใบมาก็เดินสบายหน่อยค่ะ

6.17

เดินไม่นานก็เริ่มมองเห็นเทือกเขาหินปูมาแต่ไกล จนกระทั่งเห็นป้ายอธิบายว่าตาน้ำคืออะไรก็เริ่มเบาใจกัน แต่เมื่อไปถึงก็ต้องตกใจ เราคงมาผิดฤดูใช่ไหม น้ำสีฟ้าๆ แบบรูปหายไปไหนกันหมด 555

8

ในถ้ำนี้นี่แหละค่ะเป็นที่อยู่ของตาน้ำ อาจเป็นเพราะเรามาตอนหน้าร้อน น้ำตรงนี้เลยแล้งไปนิด แต่ว่ากันว่ายังไม่มีใครสามารถวัดระดับความลึกที่แท้จริงของตาน้ำแห่งนี้ได้ (เคยมีนักประดาน้ำลงไปสำรวจมาแล้ว) แน่แหละเนอะ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายๆ สาย มันก็น่าจะลึกมากกว่าที่ตาเห็นแน่ๆ

DSC02710

เมื่อได้เจอตาน้ำสมใจเราก็เดินกลับไปยังลานจอดรถ เราเจอปัญหานิดหน่อยค่ะ เนื่องจากเราคำนวณเวลาว่าเราอาจไปเช็กอินตอนสองทุ่มไม่ทัน(เวลาสายสุดที่เขาอนุญาต) เราน่าจะไปถึงตอนสามทุ่ม เราจึงโทร.บอกเจ้าของบ้านล่วงหน้าตั้งแต่ห้าโมงเย็นซึ่งก็คือโทร.บอกตั้งแต่อยู่ที่เมืองนี้ แต่เหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่พร้อมบอกเราให้รีบๆ มาก็แล้วกัน เราก็…อืมนะ ทำอะไรไม่ได้ ทำให้การเที่ยวหลังจากนั้นเป็นการเร่งสปีดอย่างเดียว

เราไปต่อที่เมือง Gordes กันค่ะ อย่างที่บอก…ด้วยความที่เรามีเวลาไม่มาก ก็เลยมีโอกาสแวะชมเมืองนี้เพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ถ่ายรูปจากจุดชมวิวจบ จุดเด่นของเมืองนี้คือเป็นเมืองบนยอดเขาที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้วค่ะ แต่ก็โชคร้ายถูกทำลายจนเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาก็ได้มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่จนกลายเป็นหมู่บ้านที่เราเห็นในปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้นหลายปีมานี้ยังติดอันดับหนึ่งในหมู่บ้านที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวฝรั่งเศสมากที่สุดอีกด้วย (‘Le village préféré des francais’ เป็นรายการจัดอันดับทางทีวีประจำปีน่ะค่ะ)

9

จากนั้นเราก็ขับรถต่อไปยังวัดในหุบเขา L’Abbaye Notre-Dame de Sénanque ค่ะ
ขอเตือนนิดหนึ่งว่าถ้าหากใครยังไม่มีโอกาสขับรถเที่ยวในเขตโปรวองซ์ อย่าเพิ่งจินตนาการว่าเป็นการขับรถบนทางราบง่ายๆ เหมือนล่องลอยอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์นะคะ โน! มันไม่ใช่เลยค่ะ เพราะหากคุณย่างกรายเข้ามาในเขตนี้เมื่อไหร่ คุณก็ต้องเจอกับถนนเส้นเล็กๆ แคบๆ เป็นทางขึ้น-ลงเขาตลอดเวลา ต้องเจอโค้งหักศอกนับร้อยเลยทีเดียว  เรียกได้ว่าเป็นการขับรถที่ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลามากกว่าปกตินั่นเอง

DSC02724

เรามาถึงวัดแห่งนี้โดยสวัสดิภาพหลังจากขับลงจากเขามาได้ พอลงจากรถได้เราก็เร่งฝีเท้าเข้าไปชมข้างในทันที อย่างแรก…เราเห็นทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงหน้าวัดมาแต่ไกล แต่น่าเสียดายที่มันปิด เราจึงไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปข้างในได้ คนส่วนใหญ่ต้องใช้วิธียืนเขย่งบนปลายเท้าแล้วตั้งกล้องถ่ายจากกำแพงข้างนอกวัดเอา หรือไม่เช่นนั้นก็ปีนกำแพงแล้วยื่นหน้าถ่ายเอาค่ะ(ในกรณีที่อยากให้มีรูปตัวเองติดกับวัดอ่ะนะ ;))
แล้วก็ไม่พลาด ฮี่ๆ  ไหนๆ เราก็เจอทุ่งลาเวนเดอร์แห่งแรกแล้วเนอะ ก็ขอประเดิมถ่ายรูปนิดหนึ่ง

DSC02730

จากนั้นเราก็ขับรถทำเวลาไปยังเมืองวาลองโซลกันเลยค่ะ ซึ่งตอนแรกเราตั้งใจจะไป Roussillon ปิดท้าย แต่เมื่อทุกอย่างบีบรัดจึงเป็นอันต้องขีดฆ่าจุดหมายแห่งนี้ไป แอบเสียดายจัง
นั่นแหละค่ะ…ทางออกจากวัดนั้นที่ต้องขับวนจากเขากลับอีกด้าน เรามองเห็นป้ายเตือนว่าพรุ่งนี้จะมีการปิดเส้นทางแถบนี้เพราะมีแข่ง Tour de France 2016 (แข่งปั่นจักรยานรอบฝรั่งเศสประจำปี 2016 ปีนี้เป็นครั้งที่ 103 แล้ว) อ่านแล้วก็โล่งใจที่เรามาวันนี้ เพราะถ้ามาพรุ่งนี้คงหาทางลงจากเขาไม่ได้แน่ๆ

ก่อนจะไปถึงเมืองวาลองโซลได้นั้นเราต้องผ่านเมือง Manosque เหมือนเดิม แล้วความหลังเก่าๆ ก็ย้อนกลับมา หากเพื่อนๆ เคยอ่านบล็อกเก่าๆ ของเรา(ที่แนบลิงค์ไว้ข้างบน) ก็คงจำได้ว่าเราเคยปั่นจักรยานจากเมือง Manosque เที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ที่วาลองโซลด้วยตัวเองมาแล้ว ดังนั้นพอได้กลับมายังสถานที่แห่งความทรงจำที่มีทั้งความสุขและทุกข์ผสมกัน เราจึงชี้ชวนให้กันดูไปตลอดทางว่ามีจุดไหนบ้างที่เราจอดแวะพักระหว่างทาง
ถามว่าอยากจะกลับไปปั่นจักรยานอีกไหม เมื่อก่อนเราคงบอกว่าไม่ แต่ตอนนี้บอกเลยว่าอยากค่ะ…อยากมากๆ ถ้ามีโอกาสก็จะทำอีกแน่นอน (หวังว่าวันนั้นสังขารจะยังไหว 55+)

10

และแล้วเราก็มาถึงที่พักสายไปสิบห้านาทีจนได้ แต่ระหว่างทางเราได้โทร.บอกเจ้าของบ้านเป็นระยะไว้แล้ว เมื่อเจอเจ้าของบ้านตัวจริง(เป็นคู่สามีภรรยา)ก็โอเคกับเรามากนะ ตอนหลังเขาก็มาขอโทษขอโพยเราที่ตอนแรกพูดจาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พร้อมอธิบายว่าคืนก่อนหน้านั้นเจอประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับแขกคนจีนที่เพิ่งมาพักไป เลยกลัวว่าเราจะเป็นแบบแขกคนนั้น
ตอนนั้นเราก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร แต่ถามว่าถึงจะเจอคนแย่ๆ มาแล้ว ทำไมต้องคิดว่าเราจะต้องแย่ตามคนก่อนหน้านั้นด้วยล่ะ  นั่นแหละค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะหลังจากเราไปนั่งคุยกันหลังกินข้าวเย็นเสร็จก็พบว่าทั้งสองเป็นคนไนซ์มากๆ
คืนนั้นเราเข้านอนพร้อมลมหนาว แล้วมาติดตามตอนที่ 2 ต่อในบล็อกหน้านะคะว่าจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีกบ้าง เจอกันค่ะ

About Bee

Let's travel together
This entry was posted in Travel in Europe, Travel in France and tagged , , , , , , , , , , , . Bookmark the permalink.

2 Responses to ทุ่งลาเวนเดอร์เมือง Valensole จ๋า พี่กลับมาหาแล้วนะ (1)

  1. Pamela Wenzel says:

    เพิ่งย้ายมาอยู่ที่มาร์เชย์ Marseille นะคะ ได้รับข้อมูลสำหรับการเที่ยวที่สวยๆๆรอบใกล้เลยคะ อยากได้ข้อมูลเพิ่มว่าไปไหนได้อีกนะคะ

    • Jelly Beans says:

      ยินดีมากๆ ค่ะ 🙂 ฝรั่งเศสตอนใต้มีที่ให้เที่ยวเยอะมากๆ ถ้าอยู่แถวมาร์กเซย ลองแวะเที่ยวเมือง Cassis (กาซี) ได้นะคะ ติดกับมาร์กเซยเลย มีกาล็อง(หน้าผาหิน) ให้เที่ยวชมเยอะมาก หรือห่างไปอีกนิดก็เป็นเมือง Aix-en-Provence ค่ะ หรือจะเที่ยวทางฝั่ง Nice Canne Monaco เลยก็ได้
      ส่วนที่อื่นๆ ยังไงลองคลิก category : travel in France อ่านดูนะคะ เขียนเอาไว้บางเมือง หรือไม่ไว้รออ่านตอที่น 2 ของหัวข้อนี้นะคะ กำลังเขียนอยู่ค่า รับรองต้องร้องว้าวแน่ๆ เพราะมีแต่ที่สวยๆ เยอะเลย 😉

Leave a comment