Trip La Réunion : 30 May – 07 June 2017
อำลาพระจันทร์พร้อมกับออกดวงตะวันไปกับเรา
ในที่สุดเรื่องเล่าของทริปบนเกาะหรรษาของพวกเราก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 3 แล้วค่ะ
ใครอยากอ่าน 2 ตอนแรก กดตามได้ที่นี่เลยนะคะ
เปิดหูเปิดตาอะโลฮ่าที่เกาะ La réunion (1)
ชมปล่องภูเขาไฟหรือจะไปดาวอังคาร La Réunion (2)
ใจจริงไม่อยากจะเขียนยาวขนาดนี้ แต่มันมีเรื่องเล่าและรูปถ่ายจำนวนมากที่อยากอวดเพื่อนๆ เลยแยกเป็นหลายพาร์ทหน่อย แต่เราก็พยายามเล่าแบบกระชับเพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป ยังไงก็แล้วแต่มาเริ่มตอนใหม่กันเลยนะคะ
Le Maïdo
เริ่มต้นของเช้าวันนี้ด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตอนตี 4 แม้จะไม่อยากลุกแต่ก็ต้องจำใจดึงตัวเองให้ลุกจากที่นอน
วันนี้เราจะขึ้นเขาไปตามล่าหาแสงอรุณรุ่งกันค่ะ!
หลังจากตรวจสอบเวลาการเดินทางบวกกับเวลาขึ้นของดวงตะวันยามเช้าหนึ่งคืนล่วงหน้า ก็พบว่าออกเดินทางตอนตีสี่ครึ่งจึงเหมาะสมที่สุดเพื่อให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นตอนหกโมงเช้านิดๆ ได้
Le Maïdo หรือ Le Piton Maïdo คือชื่อยอดเขาที่อยู่ตรงกึ่งกลางเกาะค่อนไปทางทิศตะวันตก มีความสูงกว่า 2,190 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ถ้าให้เล่าถึงประสบการณ์ในการขับรถขึ้นเขาครั้งนี้แล้วล่ะก็ ก็อยากให้จินตนาการว่า ปกติถนนที่ตัดผ่านบนเขามักจะตัดเป็นเส้นคดโค้งเลื้อยไปมา แคบพอแค่ให้รถสวนกันได้เท่านั้น
นั่นคือถ้าขับตอนกลางวันก็ยังมองเห็นทาง รู้สึกปลอดภัยแม้จะเกร็งๆไปบ้าง
แต่! การขับขึ้นเขาตอนเช้ามืดแบบนี้ มันน่ากลัวมากกกกกกค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
ข้างทางไม่มีแสงไฟ มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถ เราซึ่งเป็นผู้โดยสารก็ต้องตั้งสติตลอดเวลา ช่วยดู GPS ตลอดว่าจะถึงโค้งล่วงหน้า แล้วโค้งนั้นจะต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวาตอนไหน เพราะถ้าพลาดไป…ข้างทางคือหน้าผาล้วนๆ
เราขับมาถึงลานจอดรถบนเขาที่มีรถจอดอยู่น้อยนิด บรรยากาศรอบข้างยังมืดมิด
ทันทีที่ก้าวลงจากรถตัวก็พบกับลมหนาวเย็นยะเยือก มันหนาวมากจนปากเราสั่นกึกๆ ถึงแม้เราจะแต่งตัวอุ่นๆ มาแล้วก็ตาม
โชคยังดีที่เราหยิบผ้าห่มที่เป็นผ้า fleece จากโรงแรมติดตัวมาด้วย ก็เลยรีบเอามาห่อตัวคนละผืนแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังจุดชมวิวกัน
เรามาทันเวลาค่ะ
ภาพที่เห็นจากตาเปล่า ความจริงมันมืดมากๆ แต่พอถ่ายจากกล้องก็ทำให้เห็นว่ารังสีจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ ทะลุผ่านเมฆขึ้นมาทีละนิด…ทีละนิดแล้ว เลยได้ภาพถ่ายที่สวยถูกใจแบบไม่คาดคิด
คนเริ่มมารอดูแสงแรกของวันตรงริมหน้าผาเยอะขึ้นเรื่อยๆ สักพักพระอาทิตย์ดวงกลมๆ ก็ค่อยๆ ลอยพ้นเนินเขาขึ้นมา
หลายคนอาจจะเคยอ่านเจอในนิยายที่บรรยายประมาณว่า แสงสีทองของพระอาทิตย์อาบไล้ไปทั่วบริเวณอะไรประมาณนั้น ของจริงก็ทำให้พบว่าแสงของมันชะโลมไล้ทุกอย่างให้เป็นสีทองจริงๆ
ค่ะ…ทองไปหมด
ที่น่าแปลกก็คือท้องฟ้าบนเขาฝั่งตรงข้ามกับที่ดวงตะวันกำลังขึ้นนั้น กลับมีสีชมพูสลับฟ้า เราเรียกมันว่าสีท้องฟ้าลูกกวาดค่ะ เพราะให้อารมณ์หวานๆ น่ารักดี
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวง ความร้อนก็เริ่มย่างกรายเข้ามา
จากจุดชมวิวที่เรายืนอยู่ จะมองเห็นหุบเขาสลับไปมา ที่ตรงนั้นเขาเรียกว่า Cirque de Mafate มันมีหมู่บ้านขนาดเล็กอยู่บนนั้นด้วย
ซึ่งการจะไปให้ถึง Cirque de Mafate ได้นั้นทำได้แค่สองทางคือ การเดินเท้าขึ้นไปหรือโดยสารเฮลิคอปเตอร์ไปเท่านั้นเอง
Cirque de Mafate เป็นจุดไฮไลท์แห่งหนึ่งของนักเดินป่า มีตั้งแต่เริ่มเลเวลระดับง่ายซึ่งใช้เวลาเดินเพียงแค่ 1 วัน หรือจะเล่นระดับยากก็ใช้เวลา 3 วันขึ้นไป ขึ้นอยู่สภาพร่างกายของใครของมัน ซึ่งเราเองก็อยากไปเดินเขาที่นั่นเหมือนกัน แต่ด้วยเวลาอันจำกัด โปรแกรมนี้ก็ต้องตัดออกไป
ก่อนมาที่นี่ เขาบอกว่าถ้าจะมาถ่ายรูปทิวเขาให้เฉยๆ ให้มาก่อน 9 โมงเช้า ไม่งั้นหมอกจะบังวิวทิวทัศน์ไปหมด แต่เราพบว่าแสงยาวเช้ามันแข็งมากทำให้การถ่ายรูป Cirque de Mafate ด้านล่างไม่สวยเอาซะเลย ถ้าจะให้ดีคงรอให้พ้นให้ฟันยามบ่ายไปก่อนน่าจะได้รูปสวยสมใจ
เราเดินชมวิวอยู่บนเขาพักใหญ่ ก็เริ่มเห็นกลุ่มเมฆหมอกลอยมาจากไกลๆ เตรียมพร้อมจะมาคลุม Cirque de Mafate แล้ว และก็แอบตะหนกว่ามันจะคลุมถนนขากลับด้วยหรือเปล่า เลยคิดว่าต้องถึงเวลาอำลา Le Maïdo นี้สักที
เราขับลงเขามาอีกฝั่งเพราะตั้งใจจะไปชมพิพิธภัณฑ์เต่าทะเลกันก่อนกลับที่พัก ทันใดนั้นเราก็เห็นควันลอยฟุ้งกระจายมาจากร้านข้างทาง ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นร้านอะไร รู้ว่าต้องเกี่ยวกับของกินอะไรสักอย่างแน่ๆ เลยบอกให้นัทขับรถจอดข้างทางทันที ฮ่าๆ
มันเป็นร้านไก่ย่างค่ะ
มันก็เหมือนไก่ย่างธรรมดาบ้านเราแหละ แต่แบบ…เออ อยากลอง ก็เลยซื้อไปกินพร้อมกับสลัดสไตล์ชาวเกาะ ที่มีแต่กะหล่ำปลีหั่นฝอย ขิง แครอท คลุกน้ำยำอะไรสักอย่างผสมกับขมิ้น
ตอนแรกเราคิดว่าคงจะอี๋แหวะแน่ๆ ที่ไหนได้ เออ…มันไม่เลวนี่หว่า
เราจอดรถไว้ที่พิพิธภัณฑ์เต่าทะเลแล้วหิ้วไก่อ้อมมานั่งกินใต้ต้นไม้ที่ริมทะเลกัน
เชื่อไหม? ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องรสชาติ ความนุ่ม อร่อย หรืออะไรก็แล้วแต่ของไก่ตัวนั้น เรากับนัทยังพูดถึงมันจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันอร่อยมากกกกกกจริงๆ
เนื้อนุ่มมาก ไม่แห้ง ชุ่มฉ่ำ รสชาติหมักก็อร่อยแบบหาใครเหมือนไม่ได้อีกแล้ว
ส่วนรูปข้างล่างนี้คือวิวระหว่างกินข้าว ไม่ต้องนั่งร้านหรู ไม่มีคน ไม่มีอะไร มีแค่เสียงคลื่นกระทบฝั่งกับท้องฟ้าใสๆ อย่างเดียว 🙂
Kelonia
จบจากไก่ก็มาหาเต่า 🙂
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่อว่า Kelonia ซึ่งมันไม่ได้เป็นแค่พิพิธภัณฑ์แสดงผลงานเท่านั้น แต่มันยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เต่าทะเลหลากหลายสายพันธุ์(ที่พบหาได้ในแถบนี้)ที่ใหญ่ที่สุดของเกาะแห่งนี้อีกด้วย
Kelonia นอกจากจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เต่าทะเลที่มีพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร พวกเขายังมีทีมนักวิจัยที่ทำงานกับนักวิจัยทั่วโลกในการปกป้องดูแลเต่าทะเลไม่ให้สูญพันธุ์ไป
เราจะได้เห็นตั้งแต่บ่ออนุบาลลูกเต่าตามอายุและสายพันธุ์ มี aquariumให้ได้ดูกัน แล้วก็มีหนังสั้นเล็กๆ เกี่ยวกับผลกระทบทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์ที่เป็นต้นเหตุให้เต่าทะเลเสียชีวิตไป
เราว่าถ้าใครสนใจก็ลองมาดูกัน เพราะบัตรค่าเข้าก็ไม่ได้แพงอะไรมาก ตกคนละประมาณ 8 ยูโรได้ค่ะ
หลังจากใช้เวลาช่วงเช้าไปกับการขึ้นเขาและดูพี่เต่าทะเลกันแล้ว เราเลยมาแวะหาอะไรกินแถวๆ La Saline les Bains กันดีกว่า
เราจำชื่อร้านไม่ได้ แต่จำได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถริมทะเล
จำได้ว่าร้านนี้ได้รับรีวิวโดดเด่นแถมเปิดทั้งวันอีกด้วย คนเต็มตลอดเวลา เรื่องรสชาติอาหารเราจัดว่ากลางๆ ไม่โดดเด่นเท่าไหร่ ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นเรื่องของบรรยากาศมากกว่า
แน่นอนว่าต้องสั่งเบียร์ท้องถิ่น Bourbon มาดื่มทุกครั้ง 🙂
วันนี้เราลองกินเบอร์เกอร์ดูค่ะ
ส่วนนัทยังคงรักเดียวใจเดียวเลยลองสั่ง Rougaille ไส้กรอกมาลองดู
ร้านนี้ให้แตงกวาดองแบบเผ็ดมาเป็นเครื่องเคียงด้วย มันอร่อยเข้ากันได้ดีกับอาหารบนจานที่เหลือมากค่ะ
La Savane
กินอิ่มหนังตาก็หนัก เราก็กลับไปนอนพักกลางวันกัน จากนั้นบ่ายๆ ก็เลยชวนนัทไปผจญภัยกันอีกที่ทุ่งหญ้าสีทองหรือที่เรียกกันว่า La Savane
ทุ่งหญ้าสีทองสะวันนานี้อยู่ที่เมือง Saint Paul ค่ะ เวลาขับรถผ่านขึ้นไปทางเมือง Saint-Denis จะมองเห็นสีเหลืองทองทั้งสองข้างทางมาแต่ไกล เลยหวังในใจมาหลายวันว่าฉันจะได้มาที่นี่ให้ได้
ความจริงเราตั้งใจมาขี่ม้าดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ ติดต่อจองทัวร์ไปแล้ว แต่วันที่เราจะไปไม่มีที่ว่างแล้ว เราเลยตัดสินใจลองเดินขึ้นเขาไปดูเองแล้วกัน
ปรากฏว่าพอมาเดินเองจริงๆ เราไม่รู้จะเดินไปในทิศทางไหน เราเดินไต่เขามาเรื่อยๆ ท่ามกลางแดดยามบ่ายที่ร้อนจัด แต่ก็ไม่มีที่ท่าว่าจะเจอจุดชมวิวสวยงามแต่อย่างใด รอบกายมีแต่หญ้าและต้นกระถินเป็นระยะ โชคดีมากที่เดินผ่านคนที่มาฝึกวิ่ง trail คนหนึ่ง เขาเลยบอกว่าถ้าขึ้นมาบนนี้ได้ ถ้าจะกลับไปตรงลานจอดรถได้ก็คือเดินรอบเขาให้เป็นวง โอ้ว!
โอเค เดินไปกันค่ะ เดินมาสักพักก็เริ่มเจอทางราบ พอถึงทางราบ การเดินจึงเป็นเรื่องง่ายขึ้น เราเดินไปคุยไป พอมองวิวรอบตัวอีกที ก็พบว่าวิวที่ตามหามันก็คงอยู่แถวๆ นี้แหละ
จะบอกว่าหญ้าพวกนี้ไม่คันเลยนะคะ มันเป็นหญ้าแห้งก็จริง แต่ไม่ใช่แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาล แต่มันเป็นสีขาวอมเหลือง ทำให้มองดูไกลๆ คล้ายกับสีทอง
ทันใดนั้นเราก็เห็นตัวช่วยที่ช่วยเติมเต็มความมั่นใจ เมื่อเราเห็นมีคนขี่ม้าชมพระอาทิตย์ผ่านมาพอดี
พวกเขาขี่สวนทางกับทางที่เราจะไปกัน เลยคิดว่าเขาคงกำลังกลับกันแล้วมั้ง (คิดเอาเอง 55) เราจึงคิดว่าทางที่เรากำลังมุ่งไปข้างหน้านั้นน่าจะถูกต้องแล้วแหล่ะ
แล้วก็เจอจริงๆ ค่ะ
ความจริงแล้วไม่มีอะไรเลย นอกจากหญ้าแห้งๆ แต่มันสวยอะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน สวยประทับใจแล้วก็ยิงรูปถ่ายเอาให้หนำใจกันไปเลย
แล้วอย่างที่เล่าไปข้างต้นว่ามันเป็นทุ่งหญ้าสลับต้นกระถินที่ขึ้นเป็นระยะ ตามรูปเลยอ่ะค่ะ ที่เห็นต้นไม้พุ่มเตี้ยกระจัดกระจายตามทุ่งหญ้าอยู่นั้นมันคือต้นกระถินของเรานั่นเอง
พอได้รูปถูกใจแล้วก็ต้องรีบเร่งฝีเท้ากลับค่ะ เพราะรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพระอาทิตย์ก็จะลับตา แล้วพวกเราซึ่งไม่มีไฟฉายติดตัวมาจะหาทางลงเขาไม่เจอ
เราเร่งเดินกันสุดฝีเท้า
แต่ไม่อยากเชื่อ…แม้จะรีบวิ่งเหนื่อยกันแทบตาย แต่การเป็นวิ่งไล่ตามพระทิตย์ที่สนุกสุดๆ วิ่งไปหัวเราะไป เพราะไม่รู้ว่าจะทันก่อนดวงตะวันลับฟ้าหรือเปล่า
แต่แล้วในที่สุดก็ทันค่ะ!
มาถึงลานจอดรถได้เห็นว่ามีเวลาเราจึงข้ามถนนมาอีกฝั่งเพื่อรอชมพระทิตย์ตกกันค่ะ บริเวณนี้เราเรียกว่า Le Cap de Houssaye
Le Cap de Houssaye
จุดนี้เป็นจุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่งในการชมพระทิตย์ตก เราเห็นมีคนหาปลาหรือเดินบนโชดหินด้านล่างอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็มีป้ายห้ามว่าห้ามลงเล่นน้ำเพราะแถบนี้มีฉลามอยู่ด้วย ความจริงเราก็อยากลงไปเหมือนกันแต่เห็นมันจะมืดแล้วเลยนั่งชมวิวบนริมหน้าผาก็ได้
ภาพที่เราเห็นข้างล่างมันทำให้เราหายเหนื่อยไปเลย ท้องฟ้าสีส้มนวลๆ ตัดกับความมืดของโขดหินริมฝั่ง
มันคือความคอนทราสต์ที่โคตรสวยงามอย่างบอกไม่ถูก
หมดวันแล้ว!
ไม่อยากเชื่อว่าเหมือนกันว่าเราจะได้ทำอะไรแบบนี้ ขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกที่แล้วก็รอดูพระอาทิตย์อีกที่ เป็นการใช้เวลาที่สุดยอดมากๆ
เจอกันบล็อกหน้านะคะ เราว่าจะเขียนรวบทริปเกาะ La Réunion เป็นตอนสุดท้าย (4) แล้วจะข้ามไปต่อบล็อก London กัน
ตอนหน้านี้เราจะพาไปลอดถ้ำลาวาซึ่งเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ยากจะลืม
ไว้เจอกันใหม่นะคะ สวัสดีค่า